|
วิภัตติ |
วิภัตตินั้นท่านจำแนกไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายให้รู้ กาล บท วจนะ บุรุษ จัดเป็น ๘ หมวด ในหมวดหนึ่งๆ มี ๑๒ วิภัตติ |
กาล |
ในอาขยาตนั้น แบ่งกาลที่เป็นประธานได้ ๓ คือ
กาลที่เกิดขึ้นจำเพาะหน้า เรียกว่าปัจจุบันกาล ๑
กาลล่วงแล้ว เรียกว่า อดีตกาล ๑
กาลยังไม่มาถึง เรียกว่า อนาคตกาล ๑
กาลทั้ง ๓ นั้น แบ่งให้ละเอียดออกอีก, ปัจจุบันกาลจัดเป็น ๓ คือ ปัจจุบันแท้ ๑. ปัจจุบันใกล้อดีต ๑, ปัจจุบันใกล้
อนาคต ๑. อดีตกาลจัดเป็น ๓ เหมือนกัน คือ ล่วงแล้วไม่มีกำหนด ๑,
ล่วงแล้ววานนี้ ๑, ล่วงแล้ววันนี้ ๑. อนาคตกาล จัดเป็น ๒ คือ
อนาคตของปัจจุบัน ๑, อนาคตของอดีต ๑. กาลที่กล่าวโดยย่อหรือ
พิสดารนี้ ในเวลาพูดหรือแต่งหนังสือ อ่านหนังสือ ต้องหมายรู้ด้วย
วิภัตติ ๘ หมู่ที่กล่าวแล้ว |
บท |
วิภัตตินั้น แบ่งเป็น ๒ บท คือ ปรัสสบท บทเพื่อผู้อื่น ๑ อัตตโนบท บทเพื่อตน ๑. ปรัสสบทเป็นเครื่องหมายให้รู้กิริยาที่เป็นกัตตุวาจก, อัตตโนบท เป็นเครื่องหมายให้รู้กิริยาที่เป็น กัมมวาจกและภาววาจก อันจะกล่าวข้างหน้า, แต่จะนิยมลงเป็นแน่
ทีเดียวก็ไม่ได้. บางคราวปรัสสบทเป็นกัมมวาจกและภาววาจกก็มี
เหมือนคำบาลีว่า "สทิโส เม น วิชฺชติ. คนเช่นกับ ด้วยเรา
๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๒
[อันใคร ๆ] ย่อมหา ไม่ได้. น จ ลพฺภติ รูเป. อนึ่ง [อัน
๔ ๓ ๑ ๒ ๓ ๔ ๒
ใคร ๆ] ย่อมไม่ ได้ ในรูป" เป็นต้น.
๑ ๓ ๔
บางคราว อัตตโนบทเป็นกัตตุวาจกก็มี เหมือนคำบาลีว่า
"ปิยโต ชายเต โสโก ความโศก ย่อมเกิด แต่ของที่รัก." เป็นต้น.
๑ ๒ ๓ ๓ ๒ ๑
คำที่กล่าวข้างต้นนั้น ประสงค์เอาแต่บทที่เป็นไปโดยมาก ถ้า
จำกำหนดให้ละเอียดแล้ว ต้องอาศัยปัจจัยด้วย. |
วจนะ |
วิภัตตินั้น จัดเป็นวจนะ ๒ คือ เอกวจนะ ๑ พหุวจนะ ๑.เหมือนวิภัตตินาม ถ้าศัพท์นามที่เป็นประธานเป็นเอกวจนะ ต้อง
ประกอบกิริยาศัพท์เป็นเอกวจนะตาม, ถ้านามศัพท์เป็นพหุวจนะ ก็
ต้องประกอบกิริยาศัพท์เป็นพหุวจนะตาม, ให้มีวจนะเป็นอันเดียวกัน
อย่างนี้ :-
โส คจฺฉติ เขา ไปอยู่, เต คจฺฉนฺติ เขาทั้งหลาย ไปอยู่. ยกไว้แต่นามศัพท์ที่เป็นเอกวจนะหลาย ๆ ศัพท์ รวมกันด้วย 'จ' ศัพท์
ใช้กิริยาเป็นพหุวจนะ |
บุรุษ |
วิภัตตินั้น จัดเป็นบุรุษ ๓ คือ ประถมบุรุษ ๑ มัธยม-บุรุษ ๑ อุตตมบุรุษ ๑, เหมือนปุริสสัพพนาม. ถ้าปุริสสัพพนามใด
เป็นประธาน ต้องใช้กิริยาประกอบวิภัตติให้ถูกต้องตามปุรสสัพพนาม
นั้น อย่างนี้ :- โส ยาติ เขา ไป, ตฺวํ ยาสิ เจ้า ไป, อหํ
ยามิ ข้า ไป. ในเวลาพูดหรือเรียนหนังสือ แม้จะไม่ออกชื่อ
ปรุสสัพพนาม ใช้แต่วิภัตติกิริยาให้ถูกต้องตามบุรุษที่ตนประสงค์จะ
ออกชื่อ ก็เป็นอันเข้าใจกันได้เหมือนกัน, เหมือนคำว่า เอกิ [เจ้า]
จงมา. ถึงจะไม่ออกชื่อ 'ตฺวํ' ก็รู้ได้ เพราะ 'หิ' วิภัตติ เป็ฯ
ปัญจมี, เอกวจนะ, มัธยมบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ส่องความให้เห็น
ว่าเป็นกิริยาของ 'ตฺวํ' ซึ่งเป็นมัธยมบุรุษ, เอกวจนะ. แม้คำว่า
ปุญฺํ กริสฺสาม [ข้า ท.] จักทำ ซึ่งบุญ. ถึงจะไม่ออกชื่อ 'มยํ'
ก็รู้ได้ โดยนัยที่กล่าวแล้ว. |
|
|