|
|
อธิบายศัพท์
๑. สติ แปลว่าความระลึก หรือความระลึกได้ สติมีความระลึก
เป็นลักษณะ มีความไม่ลืมเลือนเป็นกิจ มีการควบคุมเป็นเครื่องปรากฏ[๑]
หมายความว่า ลักษณะเครื่องกำหนดของสตินั้น ก็คือความระลึกหรือนึกคิด
ได้ใน ๓ กาล กล่าวคือ ระลึกถึงการที่เคยทำ คำที่เคยพูด รูปที่เคย
เห็น เสียงที่เคยฟัง กลิ่นที่เคยสูด รสที่เคยลิ้ม โผฏฐัพพะที่เคยถูกต้อง
ธรรมะคือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเล่าเรียนเขียนอ่านในกาลก่อน นี้เรียกว่า
ระลึกอดีตกาลได้ ๑ ระลึกถึงการที่กำลังทำหรือกำลังจะทำ คำที่กำลังพูด
หรือกำลังจะพูด เรื่องที่กำลังคิด ได้แก่การตั้งสติกำหนดระลึกนึกคิดใน
เรื่องกายเวทนาจิตและธรรม ตามแนวสติปัฏฐาน นี้เรียกว่าระลึกปัจจุบันกาล
ได้ ๑, ระลึกถึงเรื่องอันจะพึงเกิดมีในกาลข้างหน้า เช่นความตายอัน
จะมีแก่ตนและบุคคลอื่น นี้เรียกว่าระลึกเรื่องอนาคตกาลได้ ๑, กิจหรือ
หน้าที่ของสตินั้น ก็คือการไม่ลืมเรื่องอดีต ระลึกได้ทุกครั้งที่ต้องการ,
ไม่เลื่อนลอยเผลอตัวในเรื่องปัจจุบัน, ไม่หวาดหวั่นฟุ้งเฟ้อในเรื่องอนาคต.
เครื่องปรากฏของสตินั้น ก็คือมีการป้องกันรักษาซึ่งการทำ การพูด
การคิด
ทั้ง ๓ กาลไว้มิให้หันเหไปในทางผิดตามกิเลส ระวังให้ตั้งอยู่
เฉพาะในทางถูกเท่านั้น ประดุจนายสารถีผู้ไม่ประมาทคอยบังคับรถเรือ
ให้แล่นไปโดยปลอดภัยฉะนั้น.
๒. สัมปชัญญะ แปลว่าความรู้ตัว สัมปชัญญะมีความไม่ฟั่นเฟือน
เป็นลักษณะ มีความไตร่ตรองเป็นกิจ มีความเลือกเฟ้นเป็นเครื่องปรากฏ[๑]
หมายความว่า ลักษณะของสัมปชัญญะนี้ ได้แก่ความรู้ทั่ว รู้ชัดโดยถูก
ต้อง ไม่ใช่หลง ๆ ลืม ๆ หลับ ๆ ตื่น ๆ ฟั่นเฟือนในขณะยืน เดิน นั่ง
นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นต้น รู้สึกตัวดีอยู่ ตื่นตัวดีอยู่ว่ากำลัง
ยืน เดินเป็นต้น. กิจหรือหน้าที่ของสัมปชัญญะนั้น ได้แก่การพิจารณา
ถึงคุณโทษเป็นต้น ชิงขึ้นหน้าคอยกุมแจอยู่ทุกอิริยาบถ. เครื่องปรากฏ
ของสัมปชัญญะนี้ ได้แก่การเลือกเฟ้นไตร่ตรองประจำอยู่ทุกอิริยาบถใน
ปัจจุบัน ไม่ส่งใจไปอื่น.
๑. คัมภีร์วิสุทธิมรรค ๑/๒๐๗ |
อธิบายชื่อหมวดธรรม
สติและ สัมปชัญญะ ทั้งสองนี้ ชื่อว่า มีอุปการะมาก เพราะ
เป็นอุปการธรรมอุดหนุนให้สำเร็จกิจในทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้.
แต่ในที่นี้หมายเอาเฉพาะในทางดี.
ท่านกล่าวว่า ที่ชื่อว่ามีอุปการะมาก เพราะเป็นเครื่องนำมาซึ่ง
ประโยชน์เกื้อกูลในกิจการทุกอย่าง เหมือนความไม่ประมาท เป็นอุปการะในการบำเพ็ญศีลเป็นต้น ๑. หมายความว่า ธรรม ๒ ประการนี้ มีอยู่แก่ผู้ใด ผู้นั้นกระทำกิจใด ๆ จะบำเพ็ญศีล เจริญสมาธิ ปัญญาก็ตาม
จะเล่าเรียนเขียนอ่านก็ตาม ประกอบการงานอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม โดยที่สุดแม้จะลุกจะนั่งจะยืน
จะเดิน
โดยมีสติสัมปชัญญะเสมอ กิจนั้น ๆ ย่อมสำเร็จด้วยดี
ไม่ผิดพลาด ปราศจากภยันตรายทุกประการ ในที่ทุกสถาน และในกาล
ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น ธรรม ๒ ประการนี้ จึงชื่อว่ามีอุปการะมาก ดังนี้แล. |
คำถามสอบความเข้าใจ
๑. สติมีลักษณะอย่างไร ?
๒. สัมปชัญญะมีลักษณะอย่างไร ?
๓. สติกับกับปชัญญะมีหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?
๔. อะไรเป็นเครื่องปรากฏของสติและสัมปชัญญะ ?
๕. เพราะเหตุใด สติและสัมปชัญญะ จึงชื่อว่าเป็นธรรมมีอุปการะมาก ? |
|
หนังสืออ้างอิง : นวโกวาท หน้า ๒๘, ธรรมวิภาค ปริจเฉทที่ ๑ หน้า ๑-๓. |
|
|